ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกามีการขับเคลื่อนที่สำคัญของ LGBTQIA+ อะไรบ้าง?
พัฒนาการของการเคลื่อนไหว LGBTQIA+ ในสหรัฐอเมริกา:
ปี 1945 ถึง 1969: “Homophile Movement”(ขบวนการรักร่วมเพศ) "Phile" เป็นภาษากรีกที่แปลว่า "ความรัก" และ Philadelphia ก็มาจากรากศัพท์นี้เช่นกัน เป้าหมายของการเคลื่อนไหวในระยะนี้คือเพื่อให้มีความอดทนจากสังคม องค์กรการเคลื่อนไหวมีขนาดเล็กและจำนวนน้อย มีลักษณะลึกลับและอยู่ใต้ดิน กลยุทธ์การเคลื่อนไหวและมุมมองคือ "ยกเว้นพฤติกรรมทางเพศ จริงๆ แล้วไม่มีความแตกต่างระหว่างคนรักต่างเพศและคนรักร่วมเพศ ” ในเวลานั้น สถานที่รวมตัวหลักของคนรักร่วมเพศคือบาร์ในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น โดยเฉพาะบริเวณใกล้โรงงาน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสัดส่วนของเลสเบี้ยนในหมู่คนงานหญิงในโรงงานมีสูงเป็นพิเศษ โดยผู้หญิงรักต่างเพศมีแนวโน้มที่จะพึ่งพาสามีของตัวเอง ในขณะที่เลสเบี้ยนมีแนวโน้มที่จะหางานทำและใช้ชีวิตเป็นอิสระ เคยมีคำที่เรียกว่า "การแต่งงานของบอสตัน" ซึ่งหมายถึงผู้หญิงสองคนอาศัยอยู่ด้วยกันและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เนื่องจากบอสตันเป็นเมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในขณะนั้น และเป็นที่เดียวที่ผู้หญิงสามารถอยู่รอดได้อย่างเป็นอิสระเท่านั้น ที่จริงแล้ววิถีชีวิตแบบพอเพียงของ “สาวรวบผม”(สาวดูแลตัวเอง) ของจีนก็เป็นแบบนี้เช่นกัน คนรักร่วมเพศในสมัยนั้นก็มีชื่อเล่นที่โรแมนติกเป็นพิเศษว่า "Twilight Lovers" เพราะพวกเขามักปรากฏตัวในยามพลบค่ำ
ต่อไปเป็นช่วง “Gay Liberation”(การปลดปล่อยของเกย์) ตั้งแต่ปี 1969 ถึง 1974 ในเวลานั้นการเคลื่อนไหวสิทธิพลเมืองดำเนินไปอย่างเต็มกำลัง แนวความคิดทางสังคมค่อนข้างเปิดกว้าง และนักสตรีนิยมเริ่มต่อสู้เพื่อสิทธิของตนเอง ความต้องการของชุมชนคนรักร่วมเพศก็เปลี่ยนจาก "ความอดทนจากสังคม" เป็นการมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนมุมมองของสังคมเกี่ยวกับเรื่องเพศ ความรัก และเพศสภาพ
เหตุจลาจลสโตนวอลล์ในปี 1969 ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ในเวลานั้น ตำรวจได้บุกเข้าไปในร้าน Stonewall Bar ในนิวยอร์ก เนื่องจากชุมชนคนรักร่วมเพศถูกตำรวจคุกคามมานานแล้ว เหตุจลาจลสโตนวอลล์จึงปะทุขึ้น นี่เป็นการต่อต้านที่เกิดขึ้นเองครั้งแรกของชุมชนคนรักร่วมเพศ นักประวัติศาสตร์หลายคนถือว่าเหตุการณ์สโตนวอลล์เป็นจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวของLGBTIA+ ในสหรัฐอเมริกา Stonewall Bar ยังคงอยู่ที่นั่นจนถึงทุกวันนี้ และถนนนี้เปลี่ยนชื่อเป็น Gay Street ในวันที่ 2 พฤศจิกายนของปีเดียวกัน นิวยอร์กได้เปิดตัว Pride Parade ครั้งแรก
ในปี 1973 รัฐบาลสหรัฐฯ และองค์กรด้านจิตวิทยาได้ยกเลิกความเจ็บป่วยในทางการแพทย์ของการรักร่วมเพศอย่างเป็นทางการ โดยไม่ถือว่าเป็นอาการป่วยทางจิตอีกต่อไป และไม่ได้รับอนุญาตให้ "รักษา" แบบบังคับอีกต่อไป เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคมปี 1990 องค์การอนามัยโลกได้ยกเลิกความเจ็บป่วยในทางการแพทย์ของการรักร่วมเพศอย่างเป็นทางการ และวันที่ 17 พฤษภาคมเป็นที่รู้จักในนาม “วันสากลยุติการต่อต้านของคนรักร่วมเพศ” อย่างไรก็ตาม ประเทศจีนยังคงมีสถาบันบังคับรักษากลุ่มรักร่วมเพศ และยังมีกรณีที่ผู้ปกครองส่งลูกที่เป็นคนรักร่วมเพศไปโรงพยาบาลจิตเวชด้วย
ในปี 1975 ถึง 1983 เป็นช่วงเวลาของ Gay Rights Movement การเคลื่อนไหวสิทธิคนรักร่วมเพศ ในเวลานี้ การเคลื่อนไหวเริ่มมุ่งเน้นไปที่การได้รับสิทธิทางการเมืองและทางกฎหมายสำหรับกลุ่ม LGBTQIA+ มากขึ้น โดยเริ่มทำงานร่วมกับนักการเมืองและสมาชิกรัฐสภา แต่ก็เริ่มกีดกันกลุ่มคนอย่างคนข้ามเพศออกจากการเคลื่อนไหว
ในปี 1988 วันที่ 11 ตุลาคมถูกกําหนดให้เป็นวันเปิดเผยอัตลักษณ์ทางเพศแห่งชาติ ในปี 1990 รัฐสภาคองเกรสแห่งสหรัฐอเมริกาได้ผ่านบทบัญญัติทางกฎหมายที่ระบุว่าการเลือกปฏิบัติต่อผู้ติดเชื้อเอชไอวีเป็นสิ่งผิดกฎหมายและต่อมาบทบัญญัตินี้ได้ผ่านอีกหลายครั้ง ในปี 2003 ศาลฎีกาของสหรัฐอเมริกาได้ยกเลิกกฎหมายที่ตัดสินว่าการมีเพศสัมพันธ์ของคนรักร่วมเพศผิดกฎหมายตามรัฐธรรมนูญของสหรัฐอเมริกา ในปี 2004 แมสซาชูเซตส์กลายเป็นรัฐแรกที่อนุญาตให้มีการแต่งงานเพศเดียวกัน ในปี 2010 กองทัพสหรัฐฯได้ยกเลิกนโยบาย "ไม่ถามไม่บอก" และเริ่มอนุญาตให้ทหารเปิดเผยรสนิยมของตน
ในปี 2015 การแต่งงานของคนเพศเดียวกันทั่วทั้งรัฐในสหรัฐอเมริกาถูกกฎหมาย